วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด



           ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน เผยช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอดคงสงสัยกันสิว่า กินกันอย่างไรล่ะที่ไม่ให้อ้วน ตำราไทยบอกไว้ให้กินเป็นยาถ่ายพยาธิปฏิบัติไม่ยากเลย ง่ายๆ เพียงแค่ตื่นนอนตอนเช้าๆ ยามรุ่งอรุณ ก็ราวๆ ประมาณ 05.00 น. หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย เริ่มกินทุเรียนได้ทันที กินพอประมาณ อาจสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมาก น้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก หรือความอ้วน ความผอม คือ อ้วนก็มากหน่อย ผอมก็น้อยลง ไม่ใช่กินเพื่ออิ่ม แต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิต่างๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอทุเรียนให้ประโยชน์คณานับที่แพทย์แผนไทย มีอาทิ เนื้อสีเหลือง

- รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี

-หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิเปลือกหนาม

- รสเฝื่อน สับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสี ย แผลพุพอง เผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลงใบทุเรียน

- รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิรากจากต้น

- ตัดเป็นข้อๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงนอกจากทุเรียนจะให้คุณอเนกอนันต์ตามสรรพคุณยาที่กล่าวมา ยังเป็นไม้ที่มีความเชื่อตามวัฒนธรรมประเพณีไทย ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยากระทั่งจนถึงปัจจุบัน คือ เป็นไม้มงคล ซึ่งตามตำราปลูกต้นไม้ตามอักษรนาม ประจำทิศว่าไว้..

“ทิศที่ควรปลูกต้นไม้มงคล ทิศบูรพา ให้ปลูกไผ่ กุ่ม และมะพร้าว ทิศอาคเนย์ ให้ปลูกต้นยอและสารภี ทิศทักษิณ ให้ปลูกมะม่วง กับ มะพลับ ทิศหรดี ให้ปลูกชัยพฤกษ์ สะเดา ขนุน และพิกุล ทิศประจิม ปลูกต้นมะขาม จะช่วยป้องกันความถ่อย ถ้อยความและผีร้ายมิให้มากล้ำกรายอีกทั้งต้นมะขามเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีแต่คนเกรงขาม ยำเกรง”


ที่มา : http://heyhaparty.blogspot.com/2007/11/blog-post_8014.html

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

โรควุ้นในลูกตาเสื่อม



          ในปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆเพิ่มขึ้นมามากมาย รวมไปถึงคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน ซึ่งบางคนอาจจะต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายๆชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการอยู่กับคอมพิวเตอร์นานๆด้วยสาเหตุอะไร เช่น ทำงาน เล่นอินเตอร์เน็ต หรือ เล่นเกมส์ โรควุ้นในตาเสื่อม ก็เป็นอีกหนึ่งโรค ที่เป็นผลพวงมาจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ซึ่งในขณะนี้ มีผลสำรวจจากทางหนังสือพิมพ์มาแล้วว่า มีผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วกว่า 14 ล้านคนในประเทศไทย และ 14 ล้านคนนี้เป็นแค่ผู้ที่มีข้อมูลบันทึกไว้เท่านั้น ยังมีคนอีกมากที่เป็นอย่างไม่รู้ตัว

• ลักษณะอาการของโรคนี้เป็นอย่างไร
         สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้ให้ลองสังเกตุจากตัวเองได้เลยว่าลักษณะการมองเห็นของเราเป็นอย่างไร โดยผู้ที่เป็นโรคนี้จะเห็นเป็นคราบดำๆ คล้ายหยากใย่ ซึ่งการตรวจสอบจะมองเห็นได้ชัดเจนในที่ๆเป็นพื้นที่สีสว่างๆ เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ผนังห้องขาวๆ ซึ่งอาการที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือประสาทของลูกตาฉีกขาด จะทำให้คุณได้เห็นกับแสงแฟลซในที่มืด ไม่ว่าจะลืมตา หรือหลับตา ก็สามารถมองเห็นได้ ลักษณะนี้เข้าขั้นอันตราย ควรไปปรึกษาจักษุแพทย์ เป็นการด่วน

• แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรหล่ะ ?
         
โรคนี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป โดยปกติแล้วในสมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุปัน มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และ ไม่จำกัดช่วงอายุวัย แล้วเสียด้วย เพราะในปัจจุบันผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ต้องนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานๆ มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงการดูโทรทัศน์ และ อ่านหนังสือในที่ๆแสงสว่างไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดอาการนี้ได้เช่นกัน การอ่านตัวหนังสือที่อยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะอ่าน นิยาย ไดอารี่ บทความ สามารถทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะถ้าการอ่านหนังสือจากกระดาษธรรมดา ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่ แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส (เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป และ จอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ) ทำให้การปรับระยะโฟกัสนั้นไม่แน่นอน บวกกับลักษณะของการอ่านหนังสือบนคอมพิวเตอร์ เราจะต้องใช้เมาส์เลื่อนลงอยู่เรื่อยๆ ทำให้การมองเห็นจะดูกระตุกๆ และการพิมพ์ตัวหนังสือก็เช่นเดียวกัน ทำให้คุณต้องก้มๆเงยๆ อยู่ตลอดเวลา (ในกรณีของคนที่พิมพ์แล้วต้องมองแป้น) ซึ่งหลังจากทำกิจเหล่านี้ไปนานๆ จะทำให้คุณเกิดอาการปวดลูกตา

ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก ?
ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต, เล่นเกมส์, อ่านไดอารี่, อ่านบทความ, อ่านหนังสือ หรืออะไรก้อตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์
' ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น '
เพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ'ระยะห่างระหว่างลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอน '
เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่
แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณ์เป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด
สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส (เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป )
( และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ)
การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน



ที่มา : http://atcloud.com/stories/56989